Instagram

Instagram อินสตาแกรม เป็นโปรแกรมแบ่งปันรูปภาพ และคลิปวิดีโอสั้น ๆ โดยผู้ใช้งานสามารถถ่ายรูป และตกแต่งรูปภาพได้ตามต้องการ และแบ่งปันผ่านบริการเครือข่ายสังคม โดยการตกแต่งรูปนั้นจะเน้น ในแนวย้อนยุค หรือกล้องโพลารอยด์ ซึ่งมีอัตราส่วนของรูปภาพอยู่ที่ 4:3 และปัจจุบันนี้ Instagram ( อินสตาแกรม ) ได้เปิดกว้างมากขึ้น จนมีหลาย ๆ คนเข้าไปทำธุรกิจบน แพลตฟอร์ม นี้ เราจึงมาแนะนำเคล็ดลับเบื้องต้นให้กับคนที่ต้องการทำการตลาดออนไลน์ก่อน เพื่อที่จะได้เรียนรู้ เข้าใจถึงการทำงานบน แพลตฟอร์ม มากยิ่งขึ้น

seo

1. เปลี่ยนไปใช้บัญชีธุรกิจ

หลายคนอาจสงสัยว่า บัญชีทั่วไป กับบัญชีธุรกิจต่างกันอย่างไร ?

• บัญชีทั่วไปนั้นก็เหมือนกับ Facebook ส่วนตัวที่เราใช้โพสต์ พูดคุยกับเพื่อน ๆ หรือคนในครอบครัว แต่สำหรับบัญชีธุรกิจ จะเป็นเหมือนกับ Facebook Page ที่ใช้สำหรับโปรโมทธุรกิจสร้างคอนเทนต์เพื่อให้ผู้คนมากมายมากดติดตามเรา และสามารถลงโฆษณาได้

• บัญชีธุรกิจนั้นสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยในการโปรโมทธุรกิจได้หลากหลาย ตัวอย่างเช่น

Instagram Insights สำหรับดูข้อมูลเชิงลึกของ IG
Instagram ads ให้เราสามารถโปรโมท หรือยิงโฆษณาบน IG ได้
Instagram Shopping เปิดร้าน ให้ลูกค้ากดซื้อของได้เลยบน IG

หากเป้าหมายของคุณคือ การทำธุรกิจบน Instagram แบบจริง ๆ จัง ๆ เราขอแนะนำให้ใช้ บัญชีธุรกิจ เพื่อให้ Instagram ( อินสตาแกรม ) ของเราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

2. ใส่ข้อมูลให้ครบถ้วน

Instagram ( อินสตาแกรม ) มีพื้นที่ให้ใส่คำอธิบายเกี่ยวกับร้านค้าของเราอยู่ สูงสุด 150 ตัวอักษร แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีพอให้เราใส่ Contact เพราะบัญชีธุรกิจนั้นจะมีช่องให้เราใส่ข้อมูลการติดต่อแยกออกมาจากคำอธิบาย โดยรวมแล้วสิ่งที่เราต้องใส่ใน Instagram Profile จะมี ดังนี้

• ชื่อธุรกิจ : ใส่ได้ 30 ตัวอักษร และเป็นส่วนที่แสดงในผลการค้นหา

• ชื่อบัญชี : ใส่ได้ 30 ตัวอักษร แสดงอยู่ด้านบนสุด และเป็นส่วนที่แสดงในผลการค้นหาด้วย

เราจะเห็นได้ว่า สิ่งที่แสดงในหน้าผลการค้นหานั้นจะมี ชื่อธุรกิจ และชื่อบัญชี หลาย ๆ แบรนด์จึงนิยมตั้งชื่อบัญชีเป็นชื่อแบรนด์ และตั้งชื่อธุรกิจโดยใช้ Keyword เพื่อให้คนที่ค้นหาบน Instagram สามารถเจอร้านค้า หรือธุรกิจของเราได้ง่าย ๆ

• Website : URL เว็บไซต์ของเรา ใครที่ยังไม่มีเว็บไซต์จะใส่เป็น Facebook Page, Shopee หรือ LINE Official Account แทนก็ได้

• ประเภทธุรกิจ : เป็นเหมือน Tag กำกับว่าธุรกิจของเราอยู่ในหมวดไหน ซึ่ง Instagram ( อินสตาแกรม ) จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้เราระบุได้

• ช่องทางการติดต่อ : ระบุอีเมลธุรกิจ เบอร์โทรติดต่อ และที่อยู่ลงไปได้ และเราสามารถเปิดเพื่อใช้ข้อมูลเดียวกับ Facebook Page ได้ด้วย

• ปุ่ม Call-to-action : เป็นปุ่มที่ให้ลูกค้าสามารถคลิกเพื่อสั่งซื้อสินค้า, จองบัตร หรือจองที่พักได้ใน Instagram ( อินสตาแกรม ) ผ่าน 3rd-Party ที่กำหนดไว้ ซึ่งในไทยอาจไม่ค่อยเห็นคนใช้กัน แต่ถ้าแบรนด์คุณลองหยิบมาใช้รับรองว่าคูลสุด ๆ

3. ทำคอนเทนต์ให้น่าสนใจ

Instagram ( อินสตาแกรม ) นั้นจะสื่อสารกันด้วยภาพเป็นหลัก ดังนั้น คอนเทนต์ที่เราโพสต์ต้องเป็นภาพที่ดูดี แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องใช้กล้องถ่ายรูปเหมือนมืออาชีพก็ได้ การจะทำให้ภาพดูดีได้นั้นขึ้นอยู่กับความชัด มีแสงที่เพียงพอต่อการถ่ายภาพ หรือมีการจัดองค์ประกอบให้ดูน่าสนใจ หากคุณยังนึกไม่ออกว่าต้องการทำคอนเทนต์แบบไหน นี้คือไอเดียที่ผมอยากลองนำเสนอ

• ภาพเบื้องหลังการถ่ายทำ – การถ่ายภาพเบื้องหลังเป็นอีกมุมหนึ่งที่สามารถสร้างความสนใจได้เช่น ขั้นตอนระหว่างการทำอาหาร เบื้องหลังการผลิต หรือถ่ายแฟชั่น

• คำคม หรือการใช้ข้อความในการสื่อสาร – คอนเทนต์ที่โพสต์บน IG ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นรูปภาพเสมอไป หากเรามีการจัดวางข้อความในรูปภาพให้สวยงาม โพสต์นั้นก็สามารถดึงดูดคนได้เช่นกัน

• คำแนะนำ สาธิตการใช้งาน – เป็นการแนะนำวิธีการใช้งานสินค้า ยกตัวอย่างเช่น สินค้าเสื้อผ้า ก็จะเป็นคำแนะนำการเลือกเสื้อผ้า หรือสไตล์การแต่งตัวให้แมทช์กับรองเท้าในหลาย ๆ รูปแบบ

4. สร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์

เมื่อเรารู้แล้วว่า Instagram ( อินสตาแกรม ) ของเราจะโพสต์คอนเทนต์แบบไหนบ้าง อีกเทคนิคที่ช่วยให้แบรนด์ของเราดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์นั่นก็คือ การควบคุม Mood & Tone ซึ่งการคุม Mood & Tone นั้นเราสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

• การออกแบบกราฟิกโดยอิงจาก CI ของธุรกิจ

• การตกแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์ หรือปรับโทนสีภาพให้ไปทิศทางเดียวกัน

• การถ่ายภาพที่ให้ความรู้สึกคล้ายกันทุกรูป หรือให้อารมเหมือนกันกัน

การคุมโทนภาพนอกจากจะสร้างความน่าสนใจให้แบรนด์ของเราแล้ว ภาพลักษณ์ยังส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ และช่วยเพิ่มมูลค้าให้กับสินค้าของเราอีกด้วย

5. เขียนแคปชั่นให้ปัง

แม้ว่าสิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจได้ดีที่สุดสำหรับ Instagram ( อินสตาแกรม ) คือ รูปภาพ แต่เราก็ไม่ควรมองข้ามการใส่ข้อความหรือแคปชั่นโดน ๆ เข้าไปด้วย เพื่อเพิ่มพลังให้กับคอนเทนต์

การเขียนแคปชั่นที่ดีต้องเขียนให้สั้น กระชับ และมี Key message สำคัญที่ต้องการจะสื่อสาร หากคอนเทนต์ที่จะโพสต์มีข้อมูลเยอะ หรือมี Story ที่ยาว การเขียนแคปชั่น 2 บรรทัดแรกควรเขียนเกริ่นหัวเรื่องให้น่าสนใจ เพื่อดึงดูดให้คนคลิกเพื่ออ่านต่อ

6. เลือกใช้ Hashtag ให้เหมาะสม

สำหรับ Instagram ( อินสตาแกรม ) การใช้ Hashtag ถือเป็นอีกเทคนิคที่ช่วยให้โพสต์ของเราเข้าถึงคนได้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างการใช้ Hashtag มีความเกี่ยวข้องกับโพสต์ เราอาจสร้างคอนเทนต์ที่กำลังเป็นเทรนด์แล้วใช้ Hashtag เพื่อเกาะกระแส สร้างโอกาสให้คนเห็นโพสต์ของเรามากยิ่งขึ้นได้ ใช้สำหรับแบรนด์ตัวเองเท่านั้น วิธีนี้เราจะเห็นได้จากแบรนด์ต่าง ๆ ที่กำลังทำ Campaign หรือมี Event บางอย่างอยู่เช่น การจัด Event #commartthailand #อยากได้คอมใหม่ต้องไปคอมมาร์ต

7. เลือกโพสต์ในเวลาที่เหมาะสม

รู้หรือไม่ เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการโพสต์คอนเทนต์บน Instagram ( อินสตาแกรม ) ของธุรกิจแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน Hootsuite ได้ทำการสำรวจ และวิเคราะห์โพสต์ทั้งหมด 258,956 โพสต์ จาก 11 ประเภทธุรกิจ พบว่า นี่คือช่วงที่สุดสำหรับการโพสต์คอนเทนต์ของแต่ละธุรกิจ

• ธุรกิจทัวร์ และท่องเที่ยว : วันศุกร์ เวลา 9.00 น. ถึง 13.00 น.

• สื่อ และความบันเทิง : วันอังคาร และพฤหัสบดี เวลา 12.00 น. ถึง 15.00 น.

• อาหาร และเครื่องดื่ม : วันศุกร์ เวลา 12.00 น.

• ธุรกิจขายปลีก : วันอังคาร พฤหัสบดี และศุกร์ เวลา 12.00 น.

• ธุรกิจบริการ : วันอังคาร พุธ และศุกร์ เวลา 9.00 น. และ 10.00 น.

• ไม่แสวงหาผลกำไร : วันอังคาร เวลา 10.00 น. และ 16.00 น.

• ธุรกิจขายส่งแบบ e-Commerce : วันพฤหัสบดี เวลา 16.00 น. และ 21.00 น.

• ยา และสุขภาพ : วันพุธ และอาทิตย์ เวลา 9.00 น.

• ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย : วันพฤหัสบดี และศุกร์ เวลา 13.00 น. ถึง 15.00 น.

• เทคโนโลยี : วันจันทร์ และอังคาร เวลา 14.00 น.

• การศึกษา : วันพฤหัสบดี เวลา 16.00 น. – 17.00 น.

*ข้อมูลนี้มาจากการสำรวจจากธุรกิจหลาย ๆ ประเทศ อาจมีความคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย แต่สามารถเป็นข้อมูลอ้างอิงได้

8. Instagram Stories & Highlight Stories

อีก 2 เทคนิค ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากบน Instagram โดย 50% ของธุรกิจที่อยู่บน IG ใช้ Stories ในการโปรโมทธุรกิจ

Instagram Stories

สำหรับ Instagram Stories ที่มีระยะเวลาแสดงเพียง 24 ชั่วโมง ทำให้เนื้อหาค่อนข้างน่าสนใจดูสดใหม่อยู่ตลอดเวลา หลายธุรกิจมักจะใช้เทคนิคในการโปรโมท ดังนี้

• การเล่าเรื่อง : เป็นการโพสต์เรื่องราวต่าง ๆ ของธุรกิจในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น สินค้าเครื่องทำกาแฟ ก็อาจเป็นสาธิตการใช้งานเครื่อง สอนทำกาแฟในตอนเช้า

• สร้างการโต้ตอบ : เป็นการใช้ฟีเจอร์ของ Stories แบบสำรวจ หรือ การตอบคำถาม ตัวอย่างเช่น คุณอยากให้สินค้าชิ้นไหน ลดราคาในเดือนหน้า? A หรือ B

• สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า : เป็นการสื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะเช่น การแชร์ภาพรีวิว หรือคอมเม้นต์จากลูกค้าลงใน Stories พร้อม Caption ในภาพเพื่อแสดงคำขอบคุณ

Highlight Stories

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ธุรกิจนำมาประยุกต์ใช้กับแบรนด์ได้ และสร้างความน่าสนใจให้กับโปรไฟล์ธุรกิจเป็นอย่างมาก ฟีเจอร์ Highlight Stories นั้นช่วยให้เราสามารถสร้างอัลบั้มของ Stories ขึ้นมาได้ เหมือนเป็นการนำ Instagram Stories ที่เด่น ๆ มาแสดงไว้บนหน้าโปรไฟล์ และทำให้มันไม่หายไปหลังครบ 24 ชั่วโมงแล้ว

นอกจากนี้เรายังสามารถทำปกอัลบั้มของ Highlight Stories ได้อีกด้วย ทำให้หลายแบรนด์นำมาประยุกต์ใช้โดยการทำปกอัลบั้มขึ้นมาเพื่อแบ่งเนื้อหาของ Stories ให้คนที่เข้ามาดูโปรไฟล์สามารถเลือกดูได้ตามต้องการ

9. ขยายการเข้าถึงด้วย Instagram ads

หากคุณต้องการให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าให้มาก และเร็วที่สุด แน่นอนคงหนีไม่พ้นการลงโฆษณาบน Instagram ( อินสตาแกรม ) การลงโฆษณาบน IG คุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับความต้องการของคุณได้ ยกตัวอย่างธุรกิจ เช่น ขายเสื้อโค้ช เสื้อกันหนาว

• ข้อมูลประชากร – กลุ่มคนแบบไหนที่เหมาะกับสินค้าของคุณ เพศ อายุ ภาษาที่ใช้

• ความสนใจ – คนที่เหมาะกับสินค้าของคุณต้องมีความสนใจแบบไหน ชอบท่องเที่ยว ชอบถ่ายภาพ หรือช้อปปิ้ง

• พฤติกรรม – Facebook และ Instagram สามารถศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้งานแต่ละคนได้ ทำให้เราสามารถกำหนดได้ว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราโปรโมท มีประวัติไปเที่ยวต่างประเทศบ่อย หรือพึ่งกลับมาจากต่างประเทศ ภายในระยะเวลาเท่าไหร่ 1 หรือ 2 สัปดาห์

• สถานที่ หรือที่อยู่อาศัย – หากร้านขายเสื้อโค้ชมีหน้าร้านอยู่ด้วย เราก็สามารถโปรโมทให้คนที่อยู่ในรัศมี 1-5 กิโลเมตร เห็นโพสต์ของเราได้ เพิ่มโอกาสให้คนเข้ามาที่ร้านของเรา

นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกโปรโมทไปหาคนที่มีความชอบคล้ายกับคนที่ติดตามเราได้อีกด้วย หากเรากำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ก็จะช่วยให้เราลงโฆษณาได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น และประหยัดงบในการโฆษณา

และถ้าหากคุณมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยุ่งยาก คุณสามารถเข้ามา ปรึกษา SEO เกี่ยวกับ แพลตฟอร์ม Instagram ( อินสตาแกรม ) หรือให้เราดูแลการทำ SEO ให้คุณสิ เพื่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น สิ่งนี้จะทำให้การตลาดของคุณไปได้สวย

phone line chat_facebook